ไปที่ไหนฉันก็ถามหามืออาชีพ ไม่ได้คลั่งไคล้ แต่ติดต่อ ทำงานกับมืออาชีพมันเหนื่อยน้อย มืออาชีพไม่จำเป็นต้องเรียนสูง ๆ เรียนน้อยก็เป็นมืออาชีพในอาชีพของตัวเองได้ มืออาชีพ รู้ว่า คุณค่าของงานตัวเองคืออะไร และนำเสนอคุณค่านั้นให้ลูกค้า หรือผู้ที่ต้องติดต่อด้วย ตัวอย่างที่ฉันชอบพูดบ่อย ๆ คือ อาชีพซักรีดเสื้อผ้า ร้านซักรีดมืออาชีพที่ฉันเจอ ตั้งแต่ใช้บริการมาหลายร้าน เจอร้านเดียว เสื้อผ้าสะอาด รีดเรียบ ผ้าไม่หาย ไม่มีผ้าสีอื่นตกใส่ นัดวันไหนส่งวันนั้น แพ็คใส่ถุงเรียบร้อยไม่ต้องรอ ไม่เอาผ้าคนอื่นมาให้เรา และไม่เอาผ้าเราไปให้คนอื่น...
อีกอาชีพ คือ พนักงานบริการ งานแรกคือโรงแรม ฉันเคยใช้บริการโรงแรมที่มีชื่อออกทางแขกเหมือนกัน โรงแรมแรกอยู่แถวนอกเมืองไปทางดอนเมือง กทม. โรงแรมใหม่ พนักงานบริการก็หน้าตายังเป็นรุ่นเยาว์ แต่บริการได้แย่มาก โดยเฉพาะเวลาฉันพาคนไปพักเป็นกลุ่มเพราะไปอบรม เวลาแขกมาเยอะ ๆ พวกเขาจะทำงานไปด้วย บ่นไปด้วย บ่นเพื่อนร่วมงาน แต่ทำให้ลูกค้ารู้สึกอึดอัดไปด้วย และเวลาแขกเยอะ ก็ไม่มีคนยกกระเป๋าไปส่ง ทุกคนต้องเอากระเป๋าไปเอง ส่วนพวกพนักงานรุ่นเยาว์เหล่านี้ก็ให้เด็กยกกระเป๋าไปส่งเฉพาะแขกที่มาเป็นครอบครัวหรือสองสามคน ซึ่งแท้จริงแล้ว รายได้ส่้วนใหญ่ของโรงแรมมาจากคนที่ไปใช้บริการเป็นกลุ่ม เพราะโรงแรมนี้เป็นสถานที่จัดอบรมของหลายหน่วยงาน เมื่อไม่มีเด็กยกกระเป๋าไปส่ง ก็ไม่มีใครไปเปิดแอร์ และจัดการห้องให้ คนที่ไม่เคยเข้าพัก ไม่ชินกับระบบการทำงานของอุปกรณ์อำนวยความสะดวกของโรงแรมก็ลำบากอีก
เทียบกับอีกโรงแรมหนึ่งคือโรงแรมนารายณ์ที่เปิดมานาน พนักงานบริการปนกันหลายวัย ส่ิงที่ฉันพบคือความเป็นมืออาชีพของพนักงานทั้งหลาย เมื่อไหร่ที่เราเข้าไปยืนหันรีหันขวางหน้าล็อบบี้ ก็จะมีคนเดินเข้ามา ส่วนมากเป็นพนักงานต้อนรับที่ค่อนข้างมีอายุ เค้าเดินเข้ามาด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแบบไม่เสแสร้งแกล้งทำ แล้วก็ถาม พร้อมทั้งเสนอความช่วยเหลือ รีเซฟชั่น ให้การต้อนรับ ลงทะเบียน ด้วยรอยยิ้มจริงใจ รวดเร็ว ไม่บ่นเพื่อนร่วมงานให้ได้ยิน และแม้เราไปเช็คอินเป็นกลุ่มใหญ่ เราก็ไม่ต้องขนกระเป๋าขึ้นห้องเอง ห้องพักไม่ใหม่เท่าอีกโรงแรมหนึ่ง แต่สะอาดทุกซอกทุกมุม บ่าย ๆ หลายวัน ที่พวกเราอบรม เมื่อออกมาจากห้อง ฉันเห็นมีการอบรมพนักงานตลอด คิดว่าคงเป็นพนักงานใหม่ นี่ทำให้บริการของโรงแรมเหนือชั้นจริง ๆ
เพื่อนคนหนึ่งของฉัน เคยทำงานที่ Club Mate ภูเก็ต เพื่อนบอกว่า ไม่ใช่ว่าพอสมัครเข้าทำงานแล้ว จะได้ทำงานทันที ต้องอบรมก่อน กี่เดือนจำไม่ได้ เริ่มตั้งแต่ การทักทายแขก การรับโทรศัพท์ การตอบคำถามแขก การตอบสนองสิ่งที่แขกเรียกร้อง การตอบสนองแขกในเหตุการณ์ต่าง ๆ การเสิร์ฟอาหาร และของต่าง ๆ ฯลฯ มิน่า Club Mate ถึงเป็นสถานที่พักผ่อนที่ได้รับความนิยม แม้มีราคาแพงลิบลิ่ว และเพื่อนคนนี้ เมื่อออกจากที่ทำงานนี้ ได้ไปเป็นผู้ฝึกอบรมบริกรของอีกหลาย ๆ โรงแรม เพราะประสบการณ์ของเขา และิสิ่งที่เขาได้เรียนมา ไม่ใช่ว่าโรงแรมทุกแห่งจะสามารถอบรมได้เช่นนี้ ต้องจ้างคนมา เพราะบางคน แม้เรียนจบมาทางการโรงแรมก็จริง แต่ไม่ได้เรียน ไม่ได้ฝึกงานในโรงแรมที่การบริการมีระดับ ก็ใช่ว่าจะทำได้ ซึ่งนี่เป็นปัญหาหนึ่งของการเรียนการโรงแรม คนที่เรียนจบมาไม่มีโอกาสไปฝึกงานในโรงแรมมีระดับ และไม่มีโอกาสไปใช้บริการในโรงแรมมีระดับ ก็จะไม่รู้ว่า มาตรฐานสูงเป็นอย่างไร
โรงแรมบางแห่ง สถานที่ดีมาก อุปกรณ์ เครื่องอำนวยความสะดวกดีมาก แต่ได้แค่สามดาว ถ้าดูสถานที่น่าจะเป็นสี่ดาวหรือห้าดาว ก็เพราะบริการ เช้ามา แม่บ้านลากรถทำความสะอาดเสียงดัง แกรก ๆๆๆ เดินไปทั่วฟลอร์ ถ้ามีหลายคนก็คุยกันไปด้วยเสียงดัง สายมา ห้องไหนยังไม่ออก แม่บ้านก็ไปเคาะห้อง เพราะไม่รู้ว่าห้องไหนเช็คเอ๊าท์แล้วหรือไม่ ก็เคาะอยู่นั่นแหละ แม่บ้านค่ะ แม่บ้านค่ะ ได้ยินเสียงดังทั่วฟลอร์เหมือนกัน ทั้งที่อุปกรณ์สื่อสารแบบวิทยุ walky talky มันอันละไม่กี่พัน บางโรงแรมก็ใช้อินเตอร์คอม เรียกมาทีได้ยินไปทั้งฟลอร์
ในประเทศด้อยพัฒนาหลายแห่ง มีโรงแรมหรู ๆ แต่ไม่ได้สนใจเรื่องบริการ หรือสนใจแต่ไร้ประสบการณ์ ก็ทำให้โรงแรมดูด้อยไปเช่นกัน ทุกอย่างหรูหมด แต่ใช้พรมเช็ดเท้าผืนละสิบห้าบาท สองเดือนซักที แถมผ้าเช็ดตัวผืนละไม่ถึงร้อย โต๊ะรับแขกในห้องเป็นคราบขวดเหมือนใช้งานมานานไม่ได้เช็ด เพราะไม่ได้อบรมพนักงานทำความสะอาด ไปเช็คอินที่เค้าเตอร์ พนักงานทำงานไป คุยไป ไม่รีบ ในขณะที่แขกเหนื่อยจะแย่อยากพัก และอีกหลายอย่างที่ทำให้โรงแรมดูลดระดับลงเพราะงานบริการ
ร้านกาแฟหลายแห่ง เวลาเจ้าของร้านไม่อยู่ เด็กที่บริการในร้านคุยกันเสียงดังเหมือนตลาดสด หรือไม่ เจ้าของร้านก็คุยเอง ประมาณว่าร้านของกู ก็เลยเป็นร้านแบบบ้าน ๆ ไปก็มี
เรื่องบริการมืออาชีพมีอีกหลายเรื่อง ถ้ามีเวลาจะเขียนต่อ
เขียนความคิด เขียนชีวิต
เขียนความคิดเรื่อยเปื่อย และความไร้สาระของชีวิต
Sunday, August 26, 2012
Monday, August 13, 2012
ฝึกเจริญสติที่วัดป่าสุคะโต: ตอนที่ 4 เดินจงกรมหรือสวนสนาม
กิจวัตรประจำวันของเรา หลังกินข้าวเช้าตอนเจ็ดโมงเช้าแล้ว ก็ไปทำกิจส่วนรวม เช่นกวาดถูกศาลาหอไตร ศาลาธรรม ลานหินโค้ง ซึ่งเป็นสถานที่เดินจงกรมและนั่งสร้างจังหวะ ทำกิจส่วนรวมเสร็จถึงแปดโมงกว่า ก็นั่งสร้างจังหวะ หรือไม่ก็เดินจงกรม เดิน ๆๆๆ นั่งๆๆๆ จนถึงสิบเอ็ดโมง ก็ไปกินข้าว แล้วก็กลับมา เดิน ๆๆๆ นั่ง ๆๆๆ จนสี่โมงเย็น
ส่วนมากพวกเราที่เข้าอบรมจะชอบไปเดินจงกรมหรือนั่งสร้างจังหวะที่ลานหินโค้ง ซึ่งเป็นลานกว้าง ๆ เอาหินแผ่นสี่เหลี่ยมใหญ่ ๆ หลายแผ่นมาวางเรียงกันเป็นล็อก ๆ ให้พอสำหรับหนึ่งคนเดินจงกรมในแต่ละล็อก และวางให้มีความสูงลดหลั่นกันไป อากาศที่นี่เย็นสบาย ต้นไม้เต็มให้ร่มเงา แดดส่องถึงแค่เล็กน้อย ลมโชยมาเบา ๆ บรรยากาศน่านอนมาก แต่ไม่มีใครกล้านอน เพราะพระอาจารย์จะเดินมาดูเป็นระยะ ลานหินโค้งสามารถรองรับคนเดินจงกรมได้เยอะพอสมควร คนเต็ม แต่ไม่ได้ยินเสียงพูดเลย ทุกคนมุ่งหน้าปฏิบัติเท่านั้น
การฝึกเจริญสตินั้น คือการฝึกให้กายกับใจอยู่ด้วยกัน ถ้าใจจะส่งออกนอก คือคิดเรื่องอื่น ก็ให้มีสติคอยระวังสังเกตใจ ทีนี้ พอใจกับกายอยู่ด้วยกันนานเข้า ไม่มีอะไรให้คิดก็เริ่มง่วง วันนั้น ขณะที่ฉันเดินจงกรมอยู่ เห็นกลุ่มสาว ๆ สี่คนแยกกันปฏิบัติ แล้วก็มีคนหนึ่ง เดินจงกรมอยู่ล็อกนี้ เสร็จแล้วเธอก็เปลี่ยนไปเดินอีกล็อกหนึ่งที่ว่างอยู่ และอีกล็อกหนื่ง ไปเรื่อย ๆ สงสัยเธอจะคิดว่าถ้าเปลี่ยนล็อกแล้วจะหายง่วง สักพักเธอก็กลับมา กระซิบกระซาบกับเพื่อนอีกสองคน ต่อจากนั้น พวกเธอก็พากันเดินตามกันเป็นเป็นวงกลมอยู่ที่ลานหินโค้งที่มีสามล็อกมาต่อกัน มอง ๆ ไปยังกะพวกเธอเดินสวนสนามกัน ฉันเลยพลอยตาลายไปด้วย ดีที่พระอาจารย์ไม่มาเห็น เพราะการเดินจงกรมไม่ให้เดินเป็นวงกลม แต่ให้เดินกลับไปกลับมา เพราะการกลับตัวจะช่วยหยุดความคิดฟุ้งซ่านได้ขณะที่บางคนเดินยาวจะปรุงแต่งความคิดยาวไปไม่สิ้นสุด การกลับตัวจะทำให้มีสติและหยุดความคิดได้ สาว ๆ ทั้งสามคนเดินสวนสนามกันสักพัก แล้วพากันเก็บของไปเดินที่อื่นต่อ สงสัยเดินสวนสนามก็คงไม่ทำให้หายง่วง
ขณะที่ฉันกำลังขำกับวิธีจัดการความง่วงของคนอื่น เหลียวไปอีกด้าน บนลานที่ทำไว้สำหรับเดินจงกรม เห็นสาวอีกคนหนึ่งกำลังวิ่งจงกรมอยู่ คนอื่นก็พากันมองอย่างงง ๆ การฝึกสติเวลาเดินคือ ให้ใจรู้เวลาเท้าสัมผัสพื้น แต่สาวคนนี้กำลังวิ่ง ไม่รู้ว่าใจเธอจะรู้ทันเวลาเท้าสัมผัสหรือเปล่า วิ่ง ๆ ไปคงไม่หายง่วง เพราะเป็นเวลาที่อาหารกลางวันกำลังย่อย คราวนี้ฉันเห็นเธอยกแขนสองข้างขึ้น ลง ขณะวิ่ง แล้วก็หยุด มาทำท่าบริหารร่างกายอยู่หลายท่า ฮ่าๆๆ ไม่รู้ว่าวันนั้นเธอจะหายง่วงหรือเปล่า
ป.ล. ฉันไม่ได้จ้องดูคนอื่นตลอดเวลานะ ฉันแค่มองเป็นพัก ๆ แต่ละทีที่มองก็ยังอดขำไม่ได้ ขำแบบมีสติ อิอิ
ส่วนมากพวกเราที่เข้าอบรมจะชอบไปเดินจงกรมหรือนั่งสร้างจังหวะที่ลานหินโค้ง ซึ่งเป็นลานกว้าง ๆ เอาหินแผ่นสี่เหลี่ยมใหญ่ ๆ หลายแผ่นมาวางเรียงกันเป็นล็อก ๆ ให้พอสำหรับหนึ่งคนเดินจงกรมในแต่ละล็อก และวางให้มีความสูงลดหลั่นกันไป อากาศที่นี่เย็นสบาย ต้นไม้เต็มให้ร่มเงา แดดส่องถึงแค่เล็กน้อย ลมโชยมาเบา ๆ บรรยากาศน่านอนมาก แต่ไม่มีใครกล้านอน เพราะพระอาจารย์จะเดินมาดูเป็นระยะ ลานหินโค้งสามารถรองรับคนเดินจงกรมได้เยอะพอสมควร คนเต็ม แต่ไม่ได้ยินเสียงพูดเลย ทุกคนมุ่งหน้าปฏิบัติเท่านั้น
การฝึกเจริญสตินั้น คือการฝึกให้กายกับใจอยู่ด้วยกัน ถ้าใจจะส่งออกนอก คือคิดเรื่องอื่น ก็ให้มีสติคอยระวังสังเกตใจ ทีนี้ พอใจกับกายอยู่ด้วยกันนานเข้า ไม่มีอะไรให้คิดก็เริ่มง่วง วันนั้น ขณะที่ฉันเดินจงกรมอยู่ เห็นกลุ่มสาว ๆ สี่คนแยกกันปฏิบัติ แล้วก็มีคนหนึ่ง เดินจงกรมอยู่ล็อกนี้ เสร็จแล้วเธอก็เปลี่ยนไปเดินอีกล็อกหนึ่งที่ว่างอยู่ และอีกล็อกหนื่ง ไปเรื่อย ๆ สงสัยเธอจะคิดว่าถ้าเปลี่ยนล็อกแล้วจะหายง่วง สักพักเธอก็กลับมา กระซิบกระซาบกับเพื่อนอีกสองคน ต่อจากนั้น พวกเธอก็พากันเดินตามกันเป็นเป็นวงกลมอยู่ที่ลานหินโค้งที่มีสามล็อกมาต่อกัน มอง ๆ ไปยังกะพวกเธอเดินสวนสนามกัน ฉันเลยพลอยตาลายไปด้วย ดีที่พระอาจารย์ไม่มาเห็น เพราะการเดินจงกรมไม่ให้เดินเป็นวงกลม แต่ให้เดินกลับไปกลับมา เพราะการกลับตัวจะช่วยหยุดความคิดฟุ้งซ่านได้ขณะที่บางคนเดินยาวจะปรุงแต่งความคิดยาวไปไม่สิ้นสุด การกลับตัวจะทำให้มีสติและหยุดความคิดได้ สาว ๆ ทั้งสามคนเดินสวนสนามกันสักพัก แล้วพากันเก็บของไปเดินที่อื่นต่อ สงสัยเดินสวนสนามก็คงไม่ทำให้หายง่วง
ขณะที่ฉันกำลังขำกับวิธีจัดการความง่วงของคนอื่น เหลียวไปอีกด้าน บนลานที่ทำไว้สำหรับเดินจงกรม เห็นสาวอีกคนหนึ่งกำลังวิ่งจงกรมอยู่ คนอื่นก็พากันมองอย่างงง ๆ การฝึกสติเวลาเดินคือ ให้ใจรู้เวลาเท้าสัมผัสพื้น แต่สาวคนนี้กำลังวิ่ง ไม่รู้ว่าใจเธอจะรู้ทันเวลาเท้าสัมผัสหรือเปล่า วิ่ง ๆ ไปคงไม่หายง่วง เพราะเป็นเวลาที่อาหารกลางวันกำลังย่อย คราวนี้ฉันเห็นเธอยกแขนสองข้างขึ้น ลง ขณะวิ่ง แล้วก็หยุด มาทำท่าบริหารร่างกายอยู่หลายท่า ฮ่าๆๆ ไม่รู้ว่าวันนั้นเธอจะหายง่วงหรือเปล่า
ป.ล. ฉันไม่ได้จ้องดูคนอื่นตลอดเวลานะ ฉันแค่มองเป็นพัก ๆ แต่ละทีที่มองก็ยังอดขำไม่ได้ ขำแบบมีสติ อิอิ
Sunday, August 12, 2012
ฝึกเจริญสติที่วัดป่าสุคะโต: ตอนที่ 3 อย่ากินข้าวเพื่อน
การไปฝึกเจริญสตินั้น พระอาจารย์ไม่ได้สอนการเจริญสติอย่างเดียว แต่ยังขัดเกลามารยาทให้พร้อม เช่น เวลาจะลุก จะนั่ง ต้องกราบแบบเบญจางคประดิษฐ์ทุกครั้ง และสิ่งที่เราจำได้ติดใจคือ พระอาจารย์สอนว่า อย่าให้ร่างกายของเราไปทำความทุกข์ให้ผู้อื่น
วันที่สองพระอาจารย์สอนเรื่องการรับประทานอาหาร ก็ให้ผู้เข้าร่วมปฏิบัติะรรมล้อมวงเป็นวงใหญ่ ๆ เอาจานอาหารวางไว้ตรงหน้า พระอาจารย์สอนว่า เวลารับประทาน ให้มีสติ อย่าตักอาหารเสียงดัง อย่าตักอาหารคำโต อย่าอ้าปากรอ ให้อ้าปากเมื่อตักอาหารมาถึงปากแล้ว เคี้ยวอาหารช้า ๆ ให้ละเอียด อย่าเคี้ยวจนแก้มพอง อย่าเคี้ยวเสียงดัง อย่าคุยกันเมื่อรับประทานอาหาร ตักอาหารทีละคำ ระหว่างเคี้ยวให้วางช้อนไว้ก่อน ให้มีสติขณะเคี้ยว และสังเกตว่ามีความคิดอะไรตกไปในอาหารคำที่เรากำลังเคี้ยว เมื่อรับประทานเสร็จแล้วพระอาจารย์ก็ถามพวกเราว่า มีใครมีความคิดอะไรตกลงไปในอาหารที่เรารับประทานบ้าง เราก็ยกมือ
วันต่อมา พระอาจารย์ให้ล้อมวงรับประทานอาหารเหมือนเดิม ขณะที่หลายคนกำลังตักอาหารเข้าปาก พระอาจารย์คงสังเกตว่าไม่สำรวม บางคนก็รีบตักเสียงดัง บางคนก็อ้าปากรออาหาร พระอาจารย์ก็สั่งให้หยุด แล้วให้จับคู่กัน หันหน้าเข้าหากัน แล้วแลกจานอาหาร ให้เราเอาจานอาหารเพื่อนมาไว้ตรงหน้า และเอาจานเราไปไว้ตรงหน้าเพื่อน แล้วพระอาจารย์ก็สั่งให้ป้อนอาหารให้กัน เราก็จับคู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ทันทีที่มองหน้าเพื่อนคนนั้น คงเป็นด้วยอานิสงส์แห่งการปฏิบัติธรรม ทำให้เรารับรู้ความรู้สึกของคนได้ดี เรารู้สึกถึงความปรารถนาดีของเพื่อนที่จับคู่ด้วย มันเหมือนเป็นไอเย็น ๆ ที่ไหลวูบมาจับใจ รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นคนจิตใจดีจากข้างใน เมื่อเพื่อนป้อนอาหารให้เรา เธอก็เอามือเธอมารองที่คางเราด้วย อดหัวเราะไม่ได้เหมือนเธอป้อนอาหารเด็กเลย ขณะกำลังเปลี่ยนกันป้อนอาหาร ก็ได้ยินเสียงพระอาจารย์พูดว่า "อย่ากินข้าวเพื่อน" "กินข้าวเพื่อนทำไม" เราหลุดจากการสำรวม หัวเราะแบบอดไม่ได้ สงสัยว่าเพื่อนคงจะป้อนช้า หรือป้อนไม่ถนัด ก็เลยตักข้าวจากจานของเพื่อนที่อยู่ต่อหน้าตัวเองมากินซะเลย เราสองคนกับเพื่อนพากันหัวเราะ จนต้องเตือนกันเองว่าให้สำรวมและป้อนข้าวกันต่อ
วันที่สองพระอาจารย์สอนเรื่องการรับประทานอาหาร ก็ให้ผู้เข้าร่วมปฏิบัติะรรมล้อมวงเป็นวงใหญ่ ๆ เอาจานอาหารวางไว้ตรงหน้า พระอาจารย์สอนว่า เวลารับประทาน ให้มีสติ อย่าตักอาหารเสียงดัง อย่าตักอาหารคำโต อย่าอ้าปากรอ ให้อ้าปากเมื่อตักอาหารมาถึงปากแล้ว เคี้ยวอาหารช้า ๆ ให้ละเอียด อย่าเคี้ยวจนแก้มพอง อย่าเคี้ยวเสียงดัง อย่าคุยกันเมื่อรับประทานอาหาร ตักอาหารทีละคำ ระหว่างเคี้ยวให้วางช้อนไว้ก่อน ให้มีสติขณะเคี้ยว และสังเกตว่ามีความคิดอะไรตกไปในอาหารคำที่เรากำลังเคี้ยว เมื่อรับประทานเสร็จแล้วพระอาจารย์ก็ถามพวกเราว่า มีใครมีความคิดอะไรตกลงไปในอาหารที่เรารับประทานบ้าง เราก็ยกมือ
วันต่อมา พระอาจารย์ให้ล้อมวงรับประทานอาหารเหมือนเดิม ขณะที่หลายคนกำลังตักอาหารเข้าปาก พระอาจารย์คงสังเกตว่าไม่สำรวม บางคนก็รีบตักเสียงดัง บางคนก็อ้าปากรออาหาร พระอาจารย์ก็สั่งให้หยุด แล้วให้จับคู่กัน หันหน้าเข้าหากัน แล้วแลกจานอาหาร ให้เราเอาจานอาหารเพื่อนมาไว้ตรงหน้า และเอาจานเราไปไว้ตรงหน้าเพื่อน แล้วพระอาจารย์ก็สั่งให้ป้อนอาหารให้กัน เราก็จับคู่กับเพื่อนอีกคนหนึ่ง ทันทีที่มองหน้าเพื่อนคนนั้น คงเป็นด้วยอานิสงส์แห่งการปฏิบัติธรรม ทำให้เรารับรู้ความรู้สึกของคนได้ดี เรารู้สึกถึงความปรารถนาดีของเพื่อนที่จับคู่ด้วย มันเหมือนเป็นไอเย็น ๆ ที่ไหลวูบมาจับใจ รู้ว่าคนตรงหน้านี้เป็นคนจิตใจดีจากข้างใน เมื่อเพื่อนป้อนอาหารให้เรา เธอก็เอามือเธอมารองที่คางเราด้วย อดหัวเราะไม่ได้เหมือนเธอป้อนอาหารเด็กเลย ขณะกำลังเปลี่ยนกันป้อนอาหาร ก็ได้ยินเสียงพระอาจารย์พูดว่า "อย่ากินข้าวเพื่อน" "กินข้าวเพื่อนทำไม" เราหลุดจากการสำรวม หัวเราะแบบอดไม่ได้ สงสัยว่าเพื่อนคงจะป้อนช้า หรือป้อนไม่ถนัด ก็เลยตักข้าวจากจานของเพื่อนที่อยู่ต่อหน้าตัวเองมากินซะเลย เราสองคนกับเพื่อนพากันหัวเราะ จนต้องเตือนกันเองว่าให้สำรวมและป้อนข้าวกันต่อ
ฝิกเจริญสติที่วัดป่าสุคะโต: ตอนที่ 2 ศีลขาด
การไปฝึกเจริญสตินั้น พระอาจารย์จะให้ทุกคนรับศีลแปด ซึ่งนอกจากศีลห้าแล้ว ยังมีศีลอีกสามข้อให้ถือ คือเว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล คือหลังเที่ยงเป็นต้นไป เว้นจากการฟ้อนรำ ขับร้อง บรรเลงดนตรี ดูการเล่นอันเป็นข้าศึกต่อพรหมจรรย์ การทัดทรงดอกไม้ ของหอม และเครื่องลูบไล้ ซึ่งใช้เป็นเครื่องประดับตกแต่ง และข้อสุดท้ายคือเว้นจากจากการนอนที่นอนอันสูงใหญ่
ข้อที่คิดไว้ว่าอาจจะทำไม่ได้คือ เว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล เมื่อไปฝึกเจริญสติจริง ๆ ก็น่าแปลก คือ ไม่หิวข้าวเย็น ตอนกลางวันก็กินอาหารปริมาณปกติ ตอนเย็น สี่โมงก็ดื่มน้ำปานะแค่สองแก้ว แต่ไม่หิวจนถึงเช้า คิดในใจว่าคงเป็นอานิสงส์ของการเจริญสติเป็นแน่
ทุกคืนเริ่มทำวัตรเย็นตอนหกโมงเย็น หลังทำวัตรเย็น นับเป็นบุญของเราที่ได้ฟังพระไพศาลแสดงเทศนาทุกคืน จนถึงหนึ่งทุ่ม แล้วพระอาจารย์ก็อบรมต่อ ส่วนใหญ่เป็นการให้ดูวีดีโอพร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงธรรมะที่แทรกอยู่ ซึ่งทำให้เราตื่นตาตื่นใจมากอยู่ ถ้าดูเองคงเฉย ๆ แต่เมื่อมีพระอาจารย์ชี้ให้เห็นถึงข้อธรรมะทั้งหลาย ทำให้เราดูแล้วซาบซึ้งธรรมะขึ้น เช่นวันหนึ่ง พระอาจารย์ให้ดูวีดีโอที่แสดงถึงขั้นตอนการฆ่าไก่ หมู วัว ควาย ทั้งหลาย มันน่าสยดสยองมาก กว่าเนื้อสัตว์ทั้งหลายจะกลายเป็นอาหารเรา สัตว์ต่าง ๆ ก็ต้องถูกเชือดแบบน่ากลัวจริง ๆ ทำให้เราอยากกินมังสวิรัติขึ้นมาทันที
แล้ววันหนึ่งศีลแปดเราก็ขาด หลังทำวัตรเย็น พระไพศาลก็แสดงธรรมเทศนา ซึ่งกล่าวถึงการเจริญสติว่าไม่ต้องดูอย่างอื่น ให้ดูแค่กายกับใจก็พอ เราก็ท่องดู "กาย" กับ "ใจ" ท่องจนขึ้นใจ เมื่อฟังธรรมเสร็จ ลงมาจากศาลาหอไตร เราก็สรุปธรรมที่ได้มาเป็นเพลง ร้องพึมพำว่า "มีแค่ ต. กับ จ." แล้วนึกต่อ น้องสาวได้ยินเราร้องเพลง รีบกระซิบว่า "อ้าว ต้อย อย่าร้องเพลงสิ" นึกได้ อ้าววว ศีลขาดซะแล้วเรา ก็จำไว้ว่าห้ามร้องเพลง แต่เพลงนี้มันติดใจเหลือเกิน อีกวัน ได้ฟังพระอาจารย์สอน พอลงจากศาลาเอาอีกแล้ว ฮัมเพลงอีกแล้ว ฮ่าๆๆ วันที่สามจึงนึกได้ สงสัยต้องฝึกสติอีกเยอะ
ข้อที่คิดไว้ว่าอาจจะทำไม่ได้คือ เว้นจากการบริโภคอาหารในเวลาวิกาล เมื่อไปฝึกเจริญสติจริง ๆ ก็น่าแปลก คือ ไม่หิวข้าวเย็น ตอนกลางวันก็กินอาหารปริมาณปกติ ตอนเย็น สี่โมงก็ดื่มน้ำปานะแค่สองแก้ว แต่ไม่หิวจนถึงเช้า คิดในใจว่าคงเป็นอานิสงส์ของการเจริญสติเป็นแน่
ทุกคืนเริ่มทำวัตรเย็นตอนหกโมงเย็น หลังทำวัตรเย็น นับเป็นบุญของเราที่ได้ฟังพระไพศาลแสดงเทศนาทุกคืน จนถึงหนึ่งทุ่ม แล้วพระอาจารย์ก็อบรมต่อ ส่วนใหญ่เป็นการให้ดูวีดีโอพร้อมทั้งแสดงให้เห็นถึงธรรมะที่แทรกอยู่ ซึ่งทำให้เราตื่นตาตื่นใจมากอยู่ ถ้าดูเองคงเฉย ๆ แต่เมื่อมีพระอาจารย์ชี้ให้เห็นถึงข้อธรรมะทั้งหลาย ทำให้เราดูแล้วซาบซึ้งธรรมะขึ้น เช่นวันหนึ่ง พระอาจารย์ให้ดูวีดีโอที่แสดงถึงขั้นตอนการฆ่าไก่ หมู วัว ควาย ทั้งหลาย มันน่าสยดสยองมาก กว่าเนื้อสัตว์ทั้งหลายจะกลายเป็นอาหารเรา สัตว์ต่าง ๆ ก็ต้องถูกเชือดแบบน่ากลัวจริง ๆ ทำให้เราอยากกินมังสวิรัติขึ้นมาทันที
แล้ววันหนึ่งศีลแปดเราก็ขาด หลังทำวัตรเย็น พระไพศาลก็แสดงธรรมเทศนา ซึ่งกล่าวถึงการเจริญสติว่าไม่ต้องดูอย่างอื่น ให้ดูแค่กายกับใจก็พอ เราก็ท่องดู "กาย" กับ "ใจ" ท่องจนขึ้นใจ เมื่อฟังธรรมเสร็จ ลงมาจากศาลาหอไตร เราก็สรุปธรรมที่ได้มาเป็นเพลง ร้องพึมพำว่า "มีแค่ ต. กับ จ." แล้วนึกต่อ น้องสาวได้ยินเราร้องเพลง รีบกระซิบว่า "อ้าว ต้อย อย่าร้องเพลงสิ" นึกได้ อ้าววว ศีลขาดซะแล้วเรา ก็จำไว้ว่าห้ามร้องเพลง แต่เพลงนี้มันติดใจเหลือเกิน อีกวัน ได้ฟังพระอาจารย์สอน พอลงจากศาลาเอาอีกแล้ว ฮัมเพลงอีกแล้ว ฮ่าๆๆ วันที่สามจึงนึกได้ สงสัยต้องฝึกสติอีกเยอะ
ฝึกเจริญสติที่วัดป่าสุคะโต: ตอนที่ 1 เจอเปรต
ครั้งแรกที่น้องสาวชวนไปปฏิบัติธรรม คือไปฝึกเจริญสติที่วัดป่าสุคะโต คิดในใจ เอ๊ะ เราจะทำได้มั้ยเนี่ย จะรอดมั้ยน้า ติด facebook ไม่กลัว อดข้าวเย็นไม่กลัว กลัวการตื่นตีสาม ใจอยากไปครึ่งไม่อยากไปครึ่ง เลยพักโครงการนี้ไว้ก่อน แล้วก็มีเหตุการณ์ที่มากระตุกใจให้คิดถึงการปฏิบัติธรรม เย็นวันหนึ่งไปทานข้าวที่ร้านอาหาร จอดรถไว้หน้าร้าน พอขับรถออกมา ก็ยังไม่เห็นอะไร กลับไปถึงบ้าน อ้าว แก้มรถด้านซ้ายยุบไปเป็นแถบ ใจหายวูบ เสียใจอยู่หลายวันเพราะเป็นคนรักรถมาก ทำให้เห็นว่าเกิดอะไรขึ้นกับใจตัวเอง ความเสียหายเล็ก ๆ น้อย ๆ แค่นี้ฉันยังเสียใจได้ขนาดนี้ ถ้าวันหนึ่ง มีสิ่งใหญ่ ๆ กว่านี้เสียหาย หรือฉันต้องสูญเสียอะไรไป ฉันจะทำใจรับได้หรือ ฉันคงบ้าไปเสียก่อนเป็นแน่ คิดได้ดังนี้แล้วยิ่งกลัว ก็เลยคิด ๆๆๆ ว่าอะไรจะช่วยป้องกันใจฉันไม่ให้เพี้ยนได้ หากวันหนึ่งต้องสูญเสียอะไรไปมากกว่านี้ แล้วก็นึกถึงวิธีการฝึกเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียนที่เคยฝึกปฏิบัติบ้างและพบว่าช่วยรักษาใจได้ดี นึกถึงคำชวนของน้องสาวขึ้นมา เลยตกลงใจว่าจะไปเข้าคอร์สฝึกเจริญสติตามแนวหลวงพ่อเทียนที่วัดป่าสุคะโต ซึ่งก็มีคอร์สที่เปิดสอนวันที่ 5 - 11 ส.ค. พอดี แต่น้องสาวฉันจะไปปฏิบัติก่อนล่วงหน้า และไม่เข้าคอร์ส
ออกจากเมืองท่่าแขกเมื่อสิบเอ็ดโมงครึ่งกว่า ๆ ข้ามสะพานมิตรภาพแห่งที่สามมานครพนมแล้ว ขับรถตรงดิ่งไปอำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิทันที ไปถึงค่ำแล้ว เลยนอนที่โรงแรมก่อน สายอีกวันจึงไปวัด เส้นทางไปวัดวกวนพอสมควร ไปถึงที่วัด เจอน้องสาวฉันมาปฏิบัติธรรมอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่ได้คุยกันมากเพราะเธอปิดวาจา ไปลงทะเบียน จ่ายค่าอาหารห้าร้อยบาท แล้วก็ไปเอาที่นอน เป็นเสื่อ กับหมอน ไม่เอาผ้าห่มเพราะเอาไปเอง ได้นอนกุฏิ ส.1 ซึ่งจะมีเพื่อนร่วมรุ่นมานอนกุฏิเดียวกันสิบคน
วันแรกที่ฉันไปถึง เพื่อนร่วมนอนศาลาเดียวกับน้องสาวฉันออกวัดกันหมดแล้ว น้องสาวก็ถามแม่ชีว่ามีกุฏิว่างไหม แม่ชีตอบว่าไม่มี ก็เหลือน้องฉันคนเดียวที่ต้องนอนศาลา ฉันเลยบอกว่าฉันจะไปนอนเป็นเพื่อน เที่ยงฉันกับน้องสาวก็ไปจัดที่นอนไว้บนศาลาชั้นบน พระสงฆ์รูปหนึ่งกำลังจัดจีวรอยู่ก็ถามน้องสาวฉันว่า ไม่มีกุฏิว่างแล้วเหรอ น้องสาวก็ตอบว่า แม่ชีบอกไม่มีแล้ว พระก็ไม่พูดอะไรต่อ
บ่ายโมง ถึงบ่ายสี่โมง ปฐมนิเทศคนที่มาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม แล้วเราก็ไปดื่มน้ำปานะ แล้วฉันกับน้องสาวก็ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำใกล้ ๆ ศาลาธรรม หกโมงเย็นไปทำวัตรเย็น แล้วพระอาจารย์ก็อบรมคนที่มาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมต่อรวมทั้งฉัน จนถึงสองทุ่มกว่า พระอาจารย์ก็อนุญาตให้ไปนอน ฉันกับน้องสาวฉันก็เดินไปศาลาธรรม ไปเข้าห้องน้ำก่อนขึ้นไปศาลา ศาลามืดมิดไปหมดเพราะไม่มีไฟเปิดไว้เลย น้องสาวฉันบอกว่า ปกติจะมีการเปิดไฟไว้หลอดหรือสองหลอดชั้นล่าง แต่วันนี้ไม่มีใครเปิดไฟไว้ให้ ปรากฏว่า ระหว่างเข้าห้องน้ำ ทั้งฉันและน้องสาวฉันได้ยินเสียงตุ๊กแกร้อง แต่เสียงไม่เหมือนตุ๊กแกเสียทีเดียว เสียงพูดพึมพำเหมือนคนคุยกันที่บรรยายไม่ถูก เสียงคนพูดแต่ฟังไม่เป็นภาษา เสียงโครมครามบนศาลาที่มืดมิดนั้น เราสองคนมองหน้ากัน แต่ยังไม่ได้พูดอะไร ยังทำใจกล้าเดินไป พอจะไปเปิดประตูศาลาชั้นล่างเพื่อขึ้นไปชั้นบน อากาศหน้าประตูเย็นยะเยียบ ยังมีเสียงพูดเหมือนภาษาคนแต่ฟังไม่ชัดอยู่ชั้นบน เสียงเหมือนตุ๊กแกร้องคราง และหมาทั้งหลายก็พากันครางไม่หยุดหย่อน เราสองคนมองหน้ากัน น้องฉันก็ชวนออกไปนอนเกสท์เฮ้าส์ใกล้วัด เราสองคนก็พากันจ้ำอ้าวขึ้นรถขับออกไป โดยไม่สนใจเอาของใช้ส่วนตัวที่ทิ้งไว้บนศาลา
เมื่อมาถึงเกสท์เฮ้าส์ พักจนหายขวัญผวาแล้ว น้องสาวฉันจึงเล่าเรื่องคืนก่อนที่นอนกันห้าคนให้ฟัง น้องสาวบอกว่า ไปนอนอยู่ที่ศาลาธรรมมาสามคืนแล้ว สองคืนแรกมีคนนอนเยอะ ไม่มีอะไร แต่คืนที่ผ่านมา นอนห้าคน รวมทั้งคุณป้าคนหนึ่งซึ่งเป็นคนขี้กลัวผีมาก คุณป้าบ่นตลอดว่า นอนกันแค่ห้าคน น่ากลัว ฯลฯ น้องฉันก็ไม่ได้พูดอะไร พอตกกลางคืน เธอได้ยินเสียงโครมคราม เหมือนคนทำอะไรหยาบ ๆ บางทีก็เหมือนเสียงคนขว้างสิ่งของ บางทีก็ได้ยินเสียงเหมือนคนพูดตลอดแต่ฟังไม่เป็นภาษาคน และเสียงตุ๊กแกร้องคราง เธอบอกว่าเสียงเหมือนตุ๊กแก แต่ไม่ได้ร้องแบบตุ๊กแก แต่ร้องครางเสียงต่ำ ๆ ยาว ๆ เกือบสามสิบครั้ง น้องสาวฉันกางเต๊นท์นอน เธอได้ยินเสียงเริ่มตั้งแต่สองทุ่มกว่า ๆ พอได้ยินเธอก็เริ่มเจริญสติ ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงตุ๊กแกเธอยังไม่เอะใจ พอได้ยินเสียงโครมคราม เสียงคนพูด เธอจึงรู้ว่าเจอเข้าแล้ว เธอก็เจริญสติไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกือบตีหนึ่ง เสียงจึงเงียบไป เธอจึงนอนหลับได้ แต่เธอบอกว่าน่าแปลก ที่คุณป้า และคนอื่น ๆ นอนเฉย เหมือนไม่ได้ยินเสียงที่เธอได้ยิน
ในชีวิตที่ผ่านมาของฉัน นอกจากได้กลิ่นแปลก ๆ แล้ว ไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่่ทำให้ฉันหายข้องใจเรื่องวิญญาณว่ามีหรือไม่มี สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ บนศาลานั้นมีพระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งตามความเข้าใจของฉัน คิดว่า ผีต้องกลัวพระพุทธรูป แต่ตอนนี้ความเข้าใจนี้เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าจะห้อยพระ ก็ห้อยเพื่อให้เราระลึกถึงพระพุทธองค์เท่านั้น แต่ฉันไม่หวังว่าพระเครื่องจะป้องกันผีได้อีกต่อไป สติเท่านั้นที่จะช่วยได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกินความเชื่อของใครหลายคน ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ นอกจากการพบด้วยตนเองเท่านั้น พระท่านว่า เปรตจะขอส่วนบุญเฉพาะคนที่พอมีบุญจะอุทิศให้เท่านั้น ดังนั้นถ้าอยากเจอก็ต้องปฏิบัติเอง เรื่องเจอเปรตเป็นแค่เรื่องรอง แต่เรื่องหลักคือ ความพ้นทุกข์ซึ่งเป็นสุดยอดปรารถนาของมนุษย์
Thursday, July 12, 2012
วันนี้ฉันร้องไห้
วันนี้ฉันร้องไห้ ให้กับอะไรหลาย ๆ อย่าง แม้ต้นเหตุเกิดจากความเหงา แต่สิ่งที่กระตุ้นให้ร้องไห้ คือเพลง ๆ หนึ่ง ที่พูดถึงชีวิตคนบ้านนอกที่ไปอยู่ในเมืองกรุง พบกับความลำบากหลาย ๆ อย่าง... ฉันร้องไห้ ฉันเห็นชีวิตแบบนั้นทุกวัน ฉันเข้าใจ ฉันซาบซึ้งใจ ความลำบากที่ไม่อาจะพึ่งพาใครให้บรรเทาได้ ฉันเข้าใจ และฉันเสียใจ ที่ฉันทำงานน้อยเกินไป ถ้าฉันทำมากกว่านี้ ฉันคงช่วยพวกเขาได้มากกว่านี้ ฉันเสียใจที่ท้อแท้ ที่เบื่อ... ฉันไม่ได้คิดว่าตัวเองเป็นซุปเปอร์เกิร์ล ไม่ได้ประเมินตัวเองสูงส่ง ฉันเป็นแค่ฟันเฟืองตัวเล็ก ๆ ขององค์กรใหญ่ แต่สิ่งที่ฉันทำ ถ้ามากพอ ฉันหวังว่าจะมีผลกระทบทางบวกกับชีวิตผู้คนที่นี่ได้มากกว่านี้...
ฉันปาดน้ำตาทิ้ง บอกตัวเองว่า ไม่ว่าจะถูกใครกดดันอย่างไร นับจากวันนี้เป็นต้นไป ฉันจะทำให้สุดความสามารถ ฉันจะดื้อ ฉันจะดึง ฉันจะดัน ฉันจะทำให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ แม้ต้องละทิ้งศักดิ์ศรี ถูกคนในองค์กรเดียวกันเห็นค่าต่ำกว่าใครต่อใคร แต่ฉันมีเป้าหมายของฉัน... ฉันจะทำให้ได้
ฉันปาดน้ำตาทิ้ง บอกตัวเองว่า ไม่ว่าจะถูกใครกดดันอย่างไร นับจากวันนี้เป็นต้นไป ฉันจะทำให้สุดความสามารถ ฉันจะดื้อ ฉันจะดึง ฉันจะดัน ฉันจะทำให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ แม้ต้องละทิ้งศักดิ์ศรี ถูกคนในองค์กรเดียวกันเห็นค่าต่ำกว่าใครต่อใคร แต่ฉันมีเป้าหมายของฉัน... ฉันจะทำให้ได้
Monday, January 23, 2012
วันที่หม่นหมอง
ฝนตกแต่เช้า ตกมาแล้วเป็นวันที่สี่ แสงแดดส่องมาบ้าง เป็นพัก ๆ แต่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกอบอุ่นขึ้น อากาศช่างหม่นหมอง ไม่ต่างจากในจิตใจฉัน เดือนที่ผ่านมา ฉันต้องพบเจอกับความโลภของคนเยอะเหลือเกิน คนที่คอยแต่จะสูบเลือดสูบเนื้อจากคนอื่น ๆ ทุกครั้งเท่าที่จะทำได้ คนที่ฉ้อราษฎร์บังหลวง กินทุกอย่างเท่าที่จะกิน คนที่คอยขัดขวาง ไม่ให้ฉันทำงาน ถ้าพวกเขาไม่ได้โกงกิน ขยะแขยงคนพวกนี้ จนไม่อยากมองหน้า ไม่อยากคุย ไม่อยากอยู่ใกล้ เหมือนปลิงที่คอยดูดเลือดสัตว์อื่น ๆ ตลอดเวลา ในขณะเดียวกัน ฉันก็รู้สึกเหนื่อย ที่ต้องทำงานกับพวกนี้ ที่คอยขัดขวางฉันตลอดเวลาไม่ให้ทำงานได้สะดวก เพราะฉันไม่ให้โอกาสพวกนี้ฉ้อราษฎร์บังหลวง... และที่สุด หม่นหมอง เมื่อเห็นคนมากมายต้องทุกข์ทรมาน จากการกระทำของพวกปลิงเหล่านี้
ฉันรู้ ว่ามคนอีกมากมายที่ปล่อยให้พวกนี้กินได้อย่างอิสระเสรี ไม่สนใจ ทำงานไปเพื่อให้ได้เงินเดือนไปเดือน ๆ แต่ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ ทุกครั้งที่เห็นความทุกข์ยากของคนในที่นี้ ฉันรู้ว่า นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่ควรจะได้รับ พวกเขาถูกเบียดบังประโยชน์ที่ควรจะได้ ฉันจึงต้องต่อสู้ต่อไป แม้ที่นี่จะไม่ใช่บ้านเกิดของฉัน
บางครั้งก็ถามตัวเอง ฉันโง่หรือฉลาด ที่ทนทำงานที่กดดัน กัดกินความรู้สึกตัวเองมากมาย ทั้งที่ฉันมีทางเลือกที่จะทำงานสบายกว่านี้...
ฉันรู้ ว่ามคนอีกมากมายที่ปล่อยให้พวกนี้กินได้อย่างอิสระเสรี ไม่สนใจ ทำงานไปเพื่อให้ได้เงินเดือนไปเดือน ๆ แต่ฉันทำอย่างนั้นไม่ได้ ทุกครั้งที่เห็นความทุกข์ยากของคนในที่นี้ ฉันรู้ว่า นั่นเป็นเพราะพวกเขาไม่ได้รับสิ่งที่ควรจะได้รับ พวกเขาถูกเบียดบังประโยชน์ที่ควรจะได้ ฉันจึงต้องต่อสู้ต่อไป แม้ที่นี่จะไม่ใช่บ้านเกิดของฉัน
บางครั้งก็ถามตัวเอง ฉันโง่หรือฉลาด ที่ทนทำงานที่กดดัน กัดกินความรู้สึกตัวเองมากมาย ทั้งที่ฉันมีทางเลือกที่จะทำงานสบายกว่านี้...
Subscribe to:
Posts (Atom)