ออกจากเมืองท่่าแขกเมื่อสิบเอ็ดโมงครึ่งกว่า ๆ ข้ามสะพานมิตรภาพแห่งที่สามมานครพนมแล้ว ขับรถตรงดิ่งไปอำเภอแก้งคร้อ จังหวัดชัยภูมิทันที ไปถึงค่ำแล้ว เลยนอนที่โรงแรมก่อน สายอีกวันจึงไปวัด เส้นทางไปวัดวกวนพอสมควร ไปถึงที่วัด เจอน้องสาวฉันมาปฏิบัติธรรมอยู่ก่อนแล้ว แต่ไม่ได้คุยกันมากเพราะเธอปิดวาจา ไปลงทะเบียน จ่ายค่าอาหารห้าร้อยบาท แล้วก็ไปเอาที่นอน เป็นเสื่อ กับหมอน ไม่เอาผ้าห่มเพราะเอาไปเอง ได้นอนกุฏิ ส.1 ซึ่งจะมีเพื่อนร่วมรุ่นมานอนกุฏิเดียวกันสิบคน
วันแรกที่ฉันไปถึง เพื่อนร่วมนอนศาลาเดียวกับน้องสาวฉันออกวัดกันหมดแล้ว น้องสาวก็ถามแม่ชีว่ามีกุฏิว่างไหม แม่ชีตอบว่าไม่มี ก็เหลือน้องฉันคนเดียวที่ต้องนอนศาลา ฉันเลยบอกว่าฉันจะไปนอนเป็นเพื่อน เที่ยงฉันกับน้องสาวก็ไปจัดที่นอนไว้บนศาลาชั้นบน พระสงฆ์รูปหนึ่งกำลังจัดจีวรอยู่ก็ถามน้องสาวฉันว่า ไม่มีกุฏิว่างแล้วเหรอ น้องสาวก็ตอบว่า แม่ชีบอกไม่มีแล้ว พระก็ไม่พูดอะไรต่อ
บ่ายโมง ถึงบ่ายสี่โมง ปฐมนิเทศคนที่มาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรม แล้วเราก็ไปดื่มน้ำปานะ แล้วฉันกับน้องสาวก็ไปอาบน้ำที่ห้องน้ำใกล้ ๆ ศาลาธรรม หกโมงเย็นไปทำวัตรเย็น แล้วพระอาจารย์ก็อบรมคนที่มาเข้าคอร์สปฏิบัติธรรมต่อรวมทั้งฉัน จนถึงสองทุ่มกว่า พระอาจารย์ก็อนุญาตให้ไปนอน ฉันกับน้องสาวฉันก็เดินไปศาลาธรรม ไปเข้าห้องน้ำก่อนขึ้นไปศาลา ศาลามืดมิดไปหมดเพราะไม่มีไฟเปิดไว้เลย น้องสาวฉันบอกว่า ปกติจะมีการเปิดไฟไว้หลอดหรือสองหลอดชั้นล่าง แต่วันนี้ไม่มีใครเปิดไฟไว้ให้ ปรากฏว่า ระหว่างเข้าห้องน้ำ ทั้งฉันและน้องสาวฉันได้ยินเสียงตุ๊กแกร้อง แต่เสียงไม่เหมือนตุ๊กแกเสียทีเดียว เสียงพูดพึมพำเหมือนคนคุยกันที่บรรยายไม่ถูก เสียงคนพูดแต่ฟังไม่เป็นภาษา เสียงโครมครามบนศาลาที่มืดมิดนั้น เราสองคนมองหน้ากัน แต่ยังไม่ได้พูดอะไร ยังทำใจกล้าเดินไป พอจะไปเปิดประตูศาลาชั้นล่างเพื่อขึ้นไปชั้นบน อากาศหน้าประตูเย็นยะเยียบ ยังมีเสียงพูดเหมือนภาษาคนแต่ฟังไม่ชัดอยู่ชั้นบน เสียงเหมือนตุ๊กแกร้องคราง และหมาทั้งหลายก็พากันครางไม่หยุดหย่อน เราสองคนมองหน้ากัน น้องฉันก็ชวนออกไปนอนเกสท์เฮ้าส์ใกล้วัด เราสองคนก็พากันจ้ำอ้าวขึ้นรถขับออกไป โดยไม่สนใจเอาของใช้ส่วนตัวที่ทิ้งไว้บนศาลา
เมื่อมาถึงเกสท์เฮ้าส์ พักจนหายขวัญผวาแล้ว น้องสาวฉันจึงเล่าเรื่องคืนก่อนที่นอนกันห้าคนให้ฟัง น้องสาวบอกว่า ไปนอนอยู่ที่ศาลาธรรมมาสามคืนแล้ว สองคืนแรกมีคนนอนเยอะ ไม่มีอะไร แต่คืนที่ผ่านมา นอนห้าคน รวมทั้งคุณป้าคนหนึ่งซึ่งเป็นคนขี้กลัวผีมาก คุณป้าบ่นตลอดว่า นอนกันแค่ห้าคน น่ากลัว ฯลฯ น้องฉันก็ไม่ได้พูดอะไร พอตกกลางคืน เธอได้ยินเสียงโครมคราม เหมือนคนทำอะไรหยาบ ๆ บางทีก็เหมือนเสียงคนขว้างสิ่งของ บางทีก็ได้ยินเสียงเหมือนคนพูดตลอดแต่ฟังไม่เป็นภาษาคน และเสียงตุ๊กแกร้องคราง เธอบอกว่าเสียงเหมือนตุ๊กแก แต่ไม่ได้ร้องแบบตุ๊กแก แต่ร้องครางเสียงต่ำ ๆ ยาว ๆ เกือบสามสิบครั้ง น้องสาวฉันกางเต๊นท์นอน เธอได้ยินเสียงเริ่มตั้งแต่สองทุ่มกว่า ๆ พอได้ยินเธอก็เริ่มเจริญสติ ครั้งแรกที่ได้ยินเสียงตุ๊กแกเธอยังไม่เอะใจ พอได้ยินเสียงโครมคราม เสียงคนพูด เธอจึงรู้ว่าเจอเข้าแล้ว เธอก็เจริญสติไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเกือบตีหนึ่ง เสียงจึงเงียบไป เธอจึงนอนหลับได้ แต่เธอบอกว่าน่าแปลก ที่คุณป้า และคนอื่น ๆ นอนเฉย เหมือนไม่ได้ยินเสียงที่เธอได้ยิน
ในชีวิตที่ผ่านมาของฉัน นอกจากได้กลิ่นแปลก ๆ แล้ว ไม่เคยพบเห็นอะไรแบบนี้มาก่อน นี่เป็นครั้งแรกที่่ทำให้ฉันหายข้องใจเรื่องวิญญาณว่ามีหรือไม่มี สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ บนศาลานั้นมีพระพุทธรูปสีขาวองค์ใหญ่ตั้งอยู่ ซึ่งตามความเข้าใจของฉัน คิดว่า ผีต้องกลัวพระพุทธรูป แต่ตอนนี้ความเข้าใจนี้เปลี่ยนไปแล้ว ถ้าจะห้อยพระ ก็ห้อยเพื่อให้เราระลึกถึงพระพุทธองค์เท่านั้น แต่ฉันไม่หวังว่าพระเครื่องจะป้องกันผีได้อีกต่อไป สติเท่านั้นที่จะช่วยได้ เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกินความเชื่อของใครหลายคน ไม่อาจจะพิสูจน์ได้ นอกจากการพบด้วยตนเองเท่านั้น พระท่านว่า เปรตจะขอส่วนบุญเฉพาะคนที่พอมีบุญจะอุทิศให้เท่านั้น ดังนั้นถ้าอยากเจอก็ต้องปฏิบัติเอง เรื่องเจอเปรตเป็นแค่เรื่องรอง แต่เรื่องหลักคือ ความพ้นทุกข์ซึ่งเป็นสุดยอดปรารถนาของมนุษย์
No comments:
Post a Comment